เมนู

เหมือนโปรยแกลบลอยไปในลมอันแรง เหมือน
ทิ้งหญ้าและใบไม้ลอยไปในแม่น้ำมีกระแสอัน
เชี่ยว จักเป็นผู้ยินดีในพระพุทธศาสนา พระเจ้า
สุรัฐครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงงดเว้นจากความเห็นอัน
ชั่วช้า ทรงนอบน้อมต่อพระผู้มีพระศาสดาแล้ว
เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง บ่ายพระพักตร์ไปทาง
ทิศตะวันออก กลับคืนสู่พระนคร.

จบ นันทกเปตวัตถุที่ 3

อรรถกถานันทกเปตวัตถุที่ 3



เรื่องนันทกเปรตนี้ มีตำเริ่มต้นว่า ราชา ปิงฺคลโก นาม
ดังนี้. การอุบัติขึ้นของเรื่องนั้น เป็นอย่างไร ?
นับแต่พระศาสดาปรินิพพาน ล่วงไปได้ 200 ปี ในสุรัฐวิสัย
ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ปิงคละ. เสนาบดี
ของพระราชานั้น ชื่อว่า นันทกะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความผิดแปลก
เที่ยวยกย่องการถือผิด ๆ โดยนัยมีอาทิว่า ทานที่ทายกถวายแล้ว
ไม่มีผล ดังนี้. ธิดาของนายนันทกะนั้น เป็นอุบาสิกา ชื่อว่า อุตตรา
เขาได้ยกให้แต่งงานในตระกูลที่เสมอกัน. ฝ่ายนันทกเสนาบดี
ทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเวมานิกเปรต ที่ต้นไทรใหญ่ ในดงไฟไหม้.
เมื่อนันทกเสนาบดีนั้น ทำกาละแล้ว นางอุตตรา ได้ถวายหม้อน้ำดื่ม
เต็มด้วยน้ำหอมสะอาดและเยือกเย็น และขันอันเต็มด้วยขนม เพียบ

พร้อมด้วยสีกลิ่นและรส ที่ปรุงด้วยขนมกุมมาส แด่พระขีณาสพ-
เถระรูปหนึ่ง แล้วอุทิศว่า ขอทักษิณานี้จงสำเร็จแก่บิดาของเรา
เถิด. น้ำดื่มอันเป็นทิพย์ และขนมอันหาประมาณมิได้ ปรากฏแก่
เปรตนั้น เพราะทานนั้น. เขาเห็นดังนั้น จึงคิดอย่างนี้ว่า เราทำ
กรรมอันลามกหนอ ที่ให้มหาชนถือเอาผิด ๆ โดยนัยมีอาทิว่า
ทานที่ทายกถวายแล้ว ย่อมไม่มีผล ดังนี้ ก็บัดนี้ พระเจ้าปิงคละ
เสด็จไปโอวาทแด่พระเจ้าธรรมาโศก, พระองค์ประทานโอวาท
แล้ว จักเสด็จกลับมา เอาเถอะ เราจักบันเทานัตถิกทิฏฐิ. ไม่นานนัก
พระเจ้าปิงคละ ได้ให้โอวาทแด่พระเจ้าธรรมาโศก เมื่อจะเสด็จ
กลับ จึงทรงดำเนินไปทางนั้น.
ลำดับนั้น เปรตนั้น นิรมิตรหนทางนั้น ให้บ่ายหน้าไปยัง
ที่อยู่ของตน. ในเวลาเที่ยงตรง พระราชา เสด็จไปตามทางนั้น.
เมื่อพระองค์เสด็จไป หนทางข้างหน้าปรากฏอยู่ แต่หนทางข้างหลัง
ไม่ปรากฏแก่พระองค์. บุรุษผู้ไปหลังเขาทั้งหมด เห็นทางหายไป
จึงกลัว ร้องลั่น วิ่งไปกราบทูลแด่พระราชา, พระราชาทรงสดับ
ดังนั้น จึงตกพระหทัย มีพระหทัยสลด ประทับอยู่บทคอช้าง ตรวจดู
ทิศทั้ง 4 เห็นต้นไทรอันเป็นที่อยู่ของเปรต จึงได้เสด็จบ่ายพระพักตร์
ไปยังต้นไทรนั้น พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา. ครั้นพระราชาเสด็จ
ถึงที่นั้น โดยดำดับ เปรตประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง เข้าไปเฝ้า
พระราชา กระทำปฏิสันถาร ได้ถวายขนมและน้ำดื่ม. พระราชา
พร้อมด้วยข้าราชบริพาร ทรงสงสนาน เสวยขนมแล้วดื่มน้ำ ระงับ

ความเหน็ดเหนื่อยในหนทาง จึงตรัสถามเปรตโดยนัยมีอาทิว่า
ท่านเป็นเทวดา หรือเป็นคนธรรพ์. เปรตได้กราบทูลเรื่องของตน
ตั้งแต่ต้น จึงปลดเปลื้องพระราชา จากความเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้
ดำรงอยู่ในสรณะและศีล. เพื่อจะแสดงเรื่องนั้น พระสังคีติกาจารย์
ทั้งหลาย จึงกล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนาม
ว่า ปิงคล ได้เป็นใหญ่ในสุรัฐประเทศ เสด็จ
ไปเฝ้าพระโมริยะแล้ว กลับมายังสุรัฐประเทศ
เสด็จมาถึงที่มีเปือกตม ในเวลาเที่ยง ซึ่งเป็น
เวลาร้อน ได้ทอดพระเนตรเห็นทางอันน่ารื่นรมย์
เป็นทางที่เปรตนิรมิตรไว้ จึงตรัสบอกนายสารถี
ว่า ทางนี้น่ารื่นรมย์ เป็นทางปลอดภัย มีความ
สวัสดี ไม่มีอุปัทวันตราย ดูก่อน นายสารถี ท่าน
จงตรงไปทางนี้แหละ เมื่อเราไปโดยทางนี้ จัก
ถึงเขตเมืองสุรัฐเร็วทีเดียว พระเจ้าสุรัฐ
ได้เสด็จไปโดยทางนั้น พร้อมด้วยจตุรงคเสนา
บุรุษคนหนึ่งสะดุ้งตกใจกลัว ได้กราบทูลพระเจ้า
สุรัฐว่า พวกเราเดินทางผิด เป็นทางน่ากลัว
ขนพองสยองเกล้า เพราะทางปรากฏเฉพาะข้าง
หน้า แต่ข้างหลังไม่ปรากฏ พวกเราเดินทางผิด
เสียแล้ว พวกเราเห็นจะเดินมาใกล้สำนักพวก

อมนุษย์ กลิ่นอมนุษย์ฟุ้งไป ข้าพระองค์ได้ยิน
เสียงอันพิลึกน่าสะพึงกลัว พระเจ้าสุรัฐ ทรง
สะดุ้งพระหทัย ตรัสกะนายสารถีว่า พวกเรา
เดินทางผิดเสียแล้ว เป็นทางน่ากลัว ขนพอง
สยองเกล้า เพราะทางปรากฏเฉพาะหน้า แต่
ข้างหลังไม่ปรากฏ พวกเราเดินทางผิด พวกเรา
เห็นจะเดินมาใกล้สำนักพวกอมนุษย์ กลิ่น
อมนุษย์ย่อมฟุ้งไป เราได้ยินเสียงน่าสะพึงกลัว
แล้วเสด็จขึ้นสู่คอช้าง ทอดพระเนตรไปในทิศ
ทั้ง 4 ได้ทรงเห็นต้นไทรต้นหนึ่ง มีร่มเงาชิด
สนิทดี เขียวชะอุ่มดุจสีเมฆ มีสีและสัณฐาน
คล้ายเมฆ จึงรับสั่งกะนายสารถีว่า ป่าใหญ่เขียว
ชะอุ่มดุจสีเมฆ มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆปรากฏ
อยู่นั่นใช่ไหม ?

นายสารถีกราบทูลว่า :-
ข้าแต่มหาราช นั่นเป็นต้นไทร มีร่มเงา
ชิดสนิทดี เขียวชะอุ่ม มีสีและสัณฐานคล้ายเมฆ
พระเจ้าสุรัฐ เสด็จเข้าไปจนถึงต้นไทรใหญ่ที่
ปรากฏอยู่แล้ว เสด็จลงจากคอช้าง เข้าไป
ต้นไทร ประทับนั่งที่โคนต้น พร้อมด้วยหมู่
อำมาตย์ราชบริพาร ได้ทอดพระเนตรเห็นขันน้ำ

มีน้ำเต็ม และขนมอันหวานอร่อย บุรุษมีเพศดัง
เทวดา ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง เข้าไปเฝ้า
พระเจ้าสุรัฐแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
พระองค์ เสด็จมาดีแล้วและพระองค์ไม่ได้เสด็จ
มาร้าย ข้าแต่พระองค์ ผู้กำจัดศัตรู เชิญพระองค์
เสวยน้ำและขนมเถิดพระเจ้าข้า พระเจ้าสุรัฐ
พร้อมด้วยอำมาตย์และข้าราชบริพาร พากันดื่ม
น้ำและขนมแล้ว จึงถามว่า ท่านเป็นเทพ เป็น
คนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะปุรินททะ พวกเรา
ไม่รู้จักท่าน จักขอถาม พวกเราจะพึงรู้จักท่าน
ได้อย่างไร ?

นันทกเปรตกราบทูลว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่ใช่
เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะปุรินททะ
ข้าพระองค์เป็นเปรต จากประเทศสุรัฐ มาอยู่
ที่นี่.

พระราชาตรัสถามว่า :-
เมื่อก่อนท่านอยู่ในประเทศสุรัฐมีปกติ
อย่างไร มีความประพฤติอย่างไร ท่านมีอานุภาพ
อย่างนี้ เพราะพรหมจรรย์อย่างไร ?

นันทกเปรตตอบว่า :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้กำจัดหมู่ศัตรู ผู้ผดุง
รัฐให้เจริญ ขอพระองค์ อำมาตย์ราชบริพาร และ
พราหมณ์ปุโรหิต จงสดับฟัง ข้าแต่พระองค์ผู้
ประเสริฐ เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นบุรุษอยู่ใน
เมืองสุรัฐ เป็นคนใจบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น
คนทุศีล เป็นคนตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ห้ามปรามมหาชน ซึ่งพากันทำบุญให้
ทาน ทำอันตรายแก่หมู่ชนเหล่าอื่น ผู้กำลังให้
ทาน ได้ห้ามว่า ผลแห่งทาน ไม่มี ผลแห่งการ
สำรวม จักมีแต่ที่ไหน ใคร ๆ ผู้ชื่อว่า เป็น
อาจารย์ไม่มี ใครจักฝึกฝนบุคคล ผู้ไม่เคยฝึกฝน
แล้วได้เล่า สัตว์ทั้งหลายเป็นสัตว์เสมอกันทั้งสิ้น
การเคารพอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล จักมี
แต่ที่ไหน กำลังหรือความเพียรไม่มี ความพาก-
เพียรของบุรุษ จักมีแต่ที่ไหน ผลแห่งทานไม่มี
ทานและศีล ไม่ทำบุคคลผู้มีเวรให้หมดจดได้
สัตว์ย่อมได้ของที่ควรได้ สัตว์เมื่อจะได้สุข
หรือทุกข์ ย่อมได้สุขหรือทุกข์ อันเกิดแต่ที่น้อม
มาเอง มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย ไม่มี โลก
อื่นจากโลกนี้ ก็ไม่มี ทานอันบุคคลให้แล้ว

ย่อมไม่มีผล พลีกรรมไม่มีผล แม้ทานอันบุคคล
ตั้งไว้ดีแล้ว ก็ไม่มีผล บุรุษใด ฆ่าบุรุษอื่น และ
ตัดศีรษะบุรุษอื่น จะจัดว่าบุรุษนั้นทำลายชีวิต
ของผู้อื่น หาได้ไม่ ไม่มีใครฆ่าใคร เป็นแต่ศัตรา
ย่อมเข้าไปในระหว่างช่องกาย 7 ช่องเท่านั้น
ชีพของสัตว์ทั้งหลายไม่ขาดสูญ ไม่แตกทำลาย
บางคราวมี 8 เหลี่ยม บางคราวกลมเหมือนงบ
น้ำอ้อย บางคราวสูงตั้ง 500 โยชน์ ใครเล่า
สามารถตัดชีพให้ขาดได้ เหมือนหลอดด้ายอัน
บุคคลซัดไปแล้วหลอดด้ายนั้น อันด้ายคลายอยู่
ย่อมกลิ้งไปได้ ฉันใด ชีพนั้น ก็ฉันนั้น ย่อม
แหวกหนีไปจากร่างได้ บุคคลผู้ออกไปจากบ้านนี้
ไปเข้าบ้านอื่นฉันใด ชีพนั้นก็ออกจากร่างนี้แล้ว
ไปเข้าร่างอื่นฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลออกจาก
เรือนหลังนี้ แล้วไปเข้าเรือนหลังอื่นฉันใด แม้
ชีพนั้น ก็ออกจากร่างนี้แล้ว ไปเข้าร่างอื่นฉันนั้น
เหมือนกัน เมื่อสิ้นกำหนด 8,400,000 มหากัป
สัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นพาล ทั้งที่เป็นบัณฑิต
จักยังสงสารให้สิ้นไปแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์
ได้เอง สุขและทุกข์เหมือนตักตวงได้ ด้วย
ทะนานและกระเช้า พระชินเจ้า ย่อมรู้ทั่วถึง

สุขทุกข์ทั้งปวง สัตว์นอกนี้ ล้วนเป็นผู้ลุ่มหลง
เมื่อชาติก่อน ข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ จึง
ได้เป็นคนหลง ถูกโมหะครอบงำ เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ทุศีล ตระหนี่ บริภาษสมณพราหมณ์ ภายใน
6 เดือน ข้าพระองค์จักทำกาลกิริยา จักตกไป
ในนรกอันเผ็ดร้อน ร้ายกาจ โดยส่วนเดียว นรก
นั้นมี 4 เหลี่ยม 4 ประตู จำแนกออกเป็นส่วน ๆ
ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้น
นรกนั้น เป็นเหล็กแดง ลุกเป็นเปลวเพลิงโชติช่วง
แผ่ไป 100 โยชน์ โดยรอบตั้งอยู่ทุกเมื่อ ล่วงไป
แสน ในกาลนั้นข้าพระองค์จึงได้ยินเสียงใน
นรกนั้นว่า แน่ะ เพื่อนยาก เมื่อพวกเราไหม้อยู่
ในนรกนี้ กาลประมาณแสนปีล่วงไปแล้ว ข้าแต่
มหาราชเจ้า แสนโกฏิปีเป็นกำหนดอายุของสัตว์
ผู้หมกไหม้อยู่ในนรก ชนทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เป็นคนทุศีล ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมหมกไหม้
อยู่ในนรก แสนโกฏิปี ข้าพระองค์จักเสวย
ทุกขเวทนาอยู่ในนรกนั้น ตลอดกาลนานนี้ เป็น
ผลเเห่งกรรมชั่วของข้าพระองค์ เพราะฉะนั้น
ข้าพระองค์ จึงเศร้าโศกนัก ข้าแต่มหาราชเจ้า
กำจัดศัตรูเป็นที่ที่เจริญใจของชาวแว่นแคว้น

ขอพระองค์จงทรงสดับคำของข้าพระองค์ ขอ
ความเจริญจงมีแด่พระองค์ ธิดาของข้าพระองค์
ชื่อ อุตตรา ทำแต่ความดี ยินดีแล้วในนิจศีล
และอุโบสถศีล ยินดีในทาน และการจำแนกทาน
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่
ปกติทำไม่ให้ขาดในสิกขา เป็นลูกสะใภ้ใน
ตระกูลอื่น เป็นอุบาสิกาของพระมหาศากยมุนี
สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงศิริ ข้าแต่มหาราชเจ้า
ขอความเจริญจงมีแด่พระองค์ นางอุตตราได้
เห็นภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เข้าไปบิณฑบาตใน
บ้าน มีจักษุทอดลงแล้ว มีสติคุ้มครองทวาร
สำรวมดีแล้ว เที่ยวไปตามลำดับตรอก เข้าไป
สู่บ้านนั้น นางได้ถวายน้ำขันหนึ่ง และขนมมี
รสหวาน อร่อยแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระองค์
ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอผลทานที่ดิฉันถวายนี้
จงพลันสำเร็จแก่ธิดาของดิฉัน ที่ตายไปแล้วเถอะ
ในทันใดนั้น ผลแห่งทานก็บังเกิด แก่ข้าพระองค์
ข้าพระองค์มีความประสงค์ สำเร็จได้ดังความ
ปรารถนา บริโภคกามสุข เหมือนดังท้าวเวส-
วัณมหาราช ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้กำจัดศัตรู
เป็นที่เจริญใจของชาวแว่นแคว้น ขอพระองค์

จงทรงสดับคำของข้าพระองค์
พระพุทธเจ้าอันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เลิศ
แห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลก ขอพระองค์พร้อมด้วย
พระโอรสและพระอัครมเหสี จงถึงพระพุทธเจ้า
พระองค์นั้นเป็นสรณะเถิด ชนทั้งหลายย่อม
บรรลุอมตะ ด้วยมรรคมีองค์ 8 ขอพระองค์
พร้อมด้วยพระโอรส และพระอัครมเหสี จงถึง
มรรคมีองค์ 8 และอมตะบท ว่าเป็นสรณะเถิด
พระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติอยู่ในมรรค 4 จำพวก
ผู้ตั้งอยู่ในผล 4 จำพวก นี้เป็นพระสงฆ์ผู้
ปฏิบัติ ซื่อตรง ประกอบด้วยปัญญาและศีล ขอ
พระองค์พร้อมด้วยพระโอรสและพระอัคร-
มเหสี จงถึงพระสงฆ์นั้นเป็นสรณะเถิด ขอ
พระองค์จงรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์
ทรงยินดีด้วยพระมเหสีของพระองค์ ได้ตรัส
คำเท็จ ไม่ทรงดื่มน้ำจัณฑ์เถิด.
พระราชาตรัสว่า :-
ดูก่อนเทวดา ท่านเป็นผู้ปรารถนาความ
เจริญแก่เรา ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา
เราจักทำตามคำของท่าน ท่านเป็นอาจารย์ของเรา
เราจักเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์

อันยอดเยี่ยม กว่าเทวดาและมนุษย์ว่าเป็นสรณะ
เราจะรีบงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และ
ยินดีด้วยพระมเหสีของตน จะไม่พูดเท็จ จะไม่
ดื่มน้ำเมา เราจะคลายความเห็นอันชั่วช้า เหมือน
โปรยแกลบอันลอยไปตามลนอันแรง เหมือน
ทั้งหญ้าและใบไม้ ลอยไปในแม่น้ำ มีกระแสอัน
เชี่ยว จักเป็นผู้ยินดีในพระพุทธศาสนา พระเจ้า-
สุรัฐ ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงงดเว้นจากความ
เห็นอันชั่วช้า ทรงนอบน้อมต่อพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว เสด็จขึ้นทรงรถพระที่นั่ง บ่าย
พระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก กลับคืนสู่
พระนคร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชา ปิงฺคลโก นาม สุรฏฺฐานํ
อธิปติ อหุ
ความว่า ได้มีพระราชาพระองค์หนึ่ง เป็นอิสระแห่ง
สุรัฐประเทศ ปรากฏพระนามว่า ปิงคละ เพราะมีจักษุเหลือง.
ด้วยบทว่า โมริยานํ ท่านกล่าวหมายถึงพระเจ้าโมริยธรรมาโศก.
บทว่า สุรฎฺฐํ ปุนราคมา ความว่า ได้เสด็จกลับมาตามทางเป็นที่
ไปยังสุรัฐประเทศ มุ่งที่อยู่แห่งสุรัฐประเทศ. บทว่า ปงฺกํ
ได้แก่ ภูมิภาคอันอ่อนนุ่ม. บทว่า วณฺณุปถํ ได้แก่ หนทางมีทราย
ที่เปรตนิรมิตรไว้.

บทว่า เขโม แปลว่า ปลอดภัย. บทว่า โสวตฺถิโก แปลว่า
นำมาซึ่งความสวัสดี. บทว่า สิโว แปลว่า ไม่มีอุปัทวันตราย
บทว่า สุรฏฺฐานํ สนฺติเก อิโต ได้แก่ พวกเราเมื่อไปตามหนทาง
เส้นนี้ จักถึงที่ใกล้เมืองสุรัฐที่เดียว.
บทว่า สุรฏฺโฐ ได้แก่ ผู้เป็นใหญ่ในสุรัฐประเทศ. บทว่า
อุพฺพิคฺครูโป ได้แก่ ผู้มีความสะดุ้งเป็นสภาวะ. บทว่า ภึสนํ ได้แก่
เกิดความกลัวขึ้น. บทว่า โลมหํสนํ ได้แก่ เกิดขนพองสยองเกล้า
เพราะเป็นหนทางน่ากลัว.
บทว่า ยมปุริสาน สนฺติเก ได้แก่ อยู่ในที่ใกล้พวกเปรต.
บทว่า อมานุโส วายติ คนฺโธ ความว่า กลิ่นตัวของพวกเปรต
ย่อมฟุ้งไป. บทว่า โฆโส สุยฺยติ ทารุโณ ความว่า ข้าพระองค์
ได้ยินเสียงอันพิลึกน่าสะพึงกลัวของเหล่าสัตว์ ผู้กระทำเหตุใน
นรกโดยเฉพาะ.
บทว่า ปาทปํ ได้แก่ ต้นไม้อันมีชื่อว่า ปาทปะ เพราะเป็น
ที่ดื่มน้ำทางลำต้นเช่นกับราก. บทว่า ฉายาสมฺปนฺนํ แปลว่า
มีร่มเงาสนิทดี. บทว่า นีลพฺภวณฺณสทิสํ ได้แก่. มีสีเขียวชอุ่ม ดัง
สีเมฆ. บทว่า เมฆวณฺณสิรีนิภํ ได้แก่ ปรากฏมีสีและสัณฐาน
คล้ายเมฆ.
บทว่า ปูรํ ปานียสรกํ ได้แก่ ภาชนะน้ำดื่มอันเต็มด้วยน้ำดื่ม.
บทว่า ปูเว ได้แก่ ของเคี้ยว. บทว่า วิตฺเต ความว่า นายสารถี

ได้เห็นขนมที่วางไว้เต็มขันนั้น ๆ อันให้เกิดความปลื้มใจ มีรส
อร่อย เป็นที่ฟูใจ.
ศัพท์ อโถ ในบทว่า อโถ เต อทุราคตํ นี้ เป็นเพียงนิบาต
หรือว่า บทว่า อโถ ใช้ในอรรถแห่งอวธารณะ, อธิบายว่า พวก
เรารับด้วยความประสงค์ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาดี
มิใช่เสด็จมาร้าย โดยที่แท้ พระองค์เสด็จมาดีทีเดียว. บทว่า
อรินฺทม ได้แก่ ผู้มักกำจัดข้าศึก.
บทว่า อนจฺจา ปาริสชฺชา มีวาจาประกอบความว่า พวก
อำมาตย์และปุโรหิตจงฟังคำ และพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตของท่าน
จงฟังคำนั้นเถิด
บทว่า สุรฎฺฐสฺมึ อหํ แก้เป็น สุรฎฺฐเทเส อหํ เรา...ใน
สุรัฐประเทศ. นายสารถี เรียกพระราชาว่า เทวะ. บทว่า
มิจฺฉาทิฎฐ แปลว่า ผู้เห็นผิดแปลกด้วยนัตถิกทิฏฐิ. บทว่า
ทุสฺสีโล ได้แก่ ผู้ไม่มีศีล. บทว่า กทริโย แปลว่า ผู้มีความตระหนี่
เหนียวแน่น. บทว่า ปริภาสโก ได้แก่ ผู้ด่าสมณพราหมณ์.
บทว่า วารยิสฺสํ แปลว่า ได้ห้ามแล้ว. บทว่า อนฺตรายกโร อหํ
มีวาจาประกอบความว่าเรา เป็นผู้กระทำอันตราย ต่อชนผู้กำลัง
ให้ทาน ผู้ทำอุปการะ และเราห้ามปรามชนเป็นอันมาก จากบุญ
อันสำเร็จด้วยทานของชนเหล่าอื่น ผู้กำลังให้ทาน.
บทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส เป็นต้น เป็นบทแสดงอาการ
ที่เราห้ามแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส

พระองค์ทรงห้ามวิบากว่า เมื่อบุคคลนั้นให้ทานอยู่ วิบาก คือผล
ที่จะพึงได้รับต่อไป ย่อมไม่มี. บทว่า สํยมสฺส กุโต ผลํ ความว่า
ก็ผลแห่งศีล จักมีแต่ที่ไหน, อธิบายว่า ผลแห่งศีลนั้นย่อมไม่มี
โดยประการทั้งปวง. บทว่า นตฺถิ อาจริโย นาม ความว่า ใคร ๆ
ผู้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ ผู้ให้ศึกษาอาจารและสมาจาระ ย่อมไม่มี,
อธิบายว่า ก็ว่าโดยภาวะทีเดียว สัตว์ทั้งหลาย ผู้ฝึกตนแล้ว หรือ
ยังไม่ได้ฝึกตน ย่อมมีได้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ใคร จักฝึก
ผู้ที่ยังไม่ได้ฝึก ดังนี้
บทว่า สมตุลฺยานิ ภูตานิ ความว่า สัตว์เหล่านี้ ทั้งหมด
เป็นผู้เสมอกันและกัน, อธิบายว่า ผู้มีความประพฤติอ่อนน้อมต่อ
ผู้ใหญ่ จักมีแต่ที่ไหน คือ ขึ้นชื่อว่า บุญอันเป็นเหตุให้ประพฤติ
อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ย่อมไม่มี. บทว่า นตฺถิ ผลํ ความว่า สัตว์
ทั้งหลาย ผู้ดำรงอยู่ในกำลังของตนอันใดกระทำความเพียร ย่อม
บรรลุสมบัติทั้งหลาย ตั้งต้นแต่ความเป็นผู้เลิศด้วยความสวยงาม
ในหมู่มนุษย์ จนถึงความเป็นพระอรหัตต์ พระองค์ย่อมห้ามกำลัง
แห่งความเพียรนั้น. บทว่า วีริยํ วา นตฺถิ กุโต อุฎฺฐานโปริสํ นี้
ท่านกล่าวได้ด้วยอำนาจการปฏิเสธวาทะที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า
นี้เป็นไปด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ
หามิได้. บทว่า นตฺถิ ทานผลํ นาม ความว่า ขึ้นชื่อว่า ผลแห่งทาน
อะไร ย่อมไม่มี อธิบายว่า การบริจาคไทยธรรมย่อมไร้ผล.
ทีเดียว เหมือนเถ้าที่เขาวางไว้. บทว่า เวรินํ ในบทว่า
น วิโสเธติ เวรินํ ความว่า ย่อมไม่ทำบุคคลผู้

มีเวร คือ ผู้ทำบาปไว้ ด้วยอำนาจเวรและด้วยอำนาจอกุศลธรรม
มีปาณาติบาตเป็นต้น ให้หมดจดจากวัตรมีทานและศีลเป็นต้น, คือ
แม้ในบางคราว ก็ไม่ทำให้หมดจดได้. บทว่า วิปาโก นตฺถิ ทานสฺส
เป็นต้น เป็นบทแสดงอาการที่ตนห้ามคนเหล่าอื่น จากทานเป็นต้น
ในกาลก่อน แต่บทว่า ชื่อว่า ผลแห่งทานย่อมไม่มีเป็นต้น พึงเห็นว่า
เป็นบทแสดงการยึดมั่นผิด ๆ แห่งตน. บทว่า สทฺเธยฺยํ แปลว่า
พึงได้. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า ก็พึงได้อย่างไร ? ท่านจึงตอบว่า
อันเกิดแต่สิ่งที่น้อมมาเอง อย่างแน่นอน. อธิบายว่า สัตว์นี้ เมื่อ
ได้รับความสุขหรือความทุกข์ ย่อมได้ด้วยอำนาจความแปรปรวน
ไปอย่างแน่นอนทีเดียว ไม่ใช่เพราะกรรมที่ตนทำไว้เลย และ
ไม่ใช่เพราะ พระอิศวร นิรมิตรขึ้นเลย. ด้วยบทว่า นตฺถิ มาตา ปิตา
ภาตา
ท่านกล่าวหมายถึงความไม่มีผลแห่งการปฏิบัติชอบ และการ
ปฏิบัติผิดในมารดาเป็นต้น. บทว่า โลโก นตฺถิ อิโต ปรํ ความว่า
ชื่อว่า ปรโลกไร ๆ จากอิธโลกนี้ ย่อมไม่มี, อธิบายว่า สัตว์ย่อม
ขาดสูญไปในที่นั้น ๆ นั่นเอง. บทว่า นินฺนํ ได้แก่ มหาทาน. บทว่า
หุตํ ได้แก่ สักการะเพื่อแขก, ท่านหมายถึงความไม่มีผลทั้งสองนั้น
จึงห้ามว่า นตฺถิ. บทว่า สุนิหิตํ แปลว่า ตั้งไว้ดีแล้ว. บทว่า
น วิชฺชติ ความว่า ชนทั้งหลาย ย่อมกล่าวการให้ทานแก่สมณ-
พราหมณ์ว่าเป็นขุมทรัพย์ อันเป็นเครื่องติดตามนั้น ย่อมไม่มี,
อธิบายว่า ทานที่ให้แก่สมณพราหมณ์นั้น เป็นเพียงวัตถุแห่งคำพูด
เท่านั้น.

บทว่า น โกจิ กญฺจิ หนติ ความว่า บุรุษใด พึงฆ่าบุรุษอื่น
คือ พึงตัดศีรษะของบุรุษอื่น ในข้อนั้น เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ใคร ๆ
ย่อมไม่ฆ่าใคร ๆ ได้ คือ ย่อมเป็นเสมือนผู้ฆ่า เพราะตัดกายของ
สัตว์ทั้งหลาย. เพื่อจะเลี่ยงคำถามว่า การประหารด้วยศัสตรา
เป็นอย่างไร ท่านจึงตอบว่า ใช้ศัสตราเข้าไปในระหว่าง อันเป็น
ช่องกาย 7 ช่อง, อธิบายว่า สอดสัตราเข้าไป ในระหว่างคือ ในช่อง
อันเป็นช่องของกาย 7 ช่อง มีปฐวีเป็นต้น เพราะฉะนั้น สัตว์
ทั้งหลาย จึงเป็นเหมือนถูกศัสตรา มีดาบเป็นต้น. สับฟัน แต่แม้กาย
ที่เหลือ ย่อมไม่ขาดไป เพราะมีสภาวะเที่ยง เหมือนมีชีวะ ฉะนั้น.
บทว่า อจฺเฉชฺชาเภชฺโช หิ ชีโว ความว่า ชีพของเหล่าสัตว์นี้
ไม่พึงถูกตัด ไม่พึงถูกทำลายด้วยศัสตราเป็นต้น เพราะมีสภาวะเที่ยง.
บทว่า อฏฺฐํโส คุฬปริมณฺฑโล ความว่า ก็ชีพนั้น บางคราวมี
8 เหลี่ยม บางคราวกลมเหมือนงบน้ำอ้อย. บทว่า โยชนานํ สตํ ปญฺจ
ความว่า ชีพนั้นถึงภาวะล้วน สูงประมาณได้ 500 โยชน์. ด้วย
บทว่า โก ชีวํ เฉตฺตุมรหติ นี้ ท่านกล่าวว่า ใครเล่าควรเพื่อจะ
ตัดชีพอันเที่ยงแท้ คือไม่มีพิการ ด้วยศัสตราเป็นต้น. คือ ชีพนั้น
ใคร ๆ ไม่ควรให้กำเริบ.
บทว่า สุตฺตคุเฬ ได้แก่ หลอดด้าย ที่เขาม้วนทำไว้. บทว่า
ขิตฺเต ได้แก่ ซัดไป ด้วยอำนาจไม่ได้คลายออก. บทว่า นิพฺเพเฐนฺตํ
ปลายติ
ความว่า หลอดด้ายอันด้ายคลี่อยู่ ที่เขาซัดไปบนภูเขา
หรือบนต้นไม้ ย่อมกลิ้งไปได้ คือ แต่เมื่อด้ายหมด ก็ไปไม่ได้.

บทว่า เอวเมวํ ความว่า หลอดด้ายนั้น อันด้ายคลี่คลายอยู่ จึง
กลิ้งไปได้ เมื่อสิ้นด้ายย่อมไปไม่ได้ ฉันใด ชีพนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อคลี่คลายหลอดคือภาวะของสัตว์ ย่อมหนีไปได้ คือ ย่อมเป็น
ไปได้ ตลอดเวลาที่กล่าวได้ว่าสิ้นกำหนด 8,400,000 มหากัป
พ้นจากนั้นหาเป็นไปได้ไม่.
บทว่า เอวเมว จ โส ชีโว ความว่า คนบางคนออกจากบ้าน
อันเป็นที่อยู่ของตนแล้วเข้าไปยังบ้านอื่น จากบ้านนั้น ด้วยกรณียะ
บางอย่างฉันใด ชีพนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ออกจากร่างนี้แล้ว ก็
เข้าไปสู่ร่างอื่นอีก ด้วยอำนาจกำหนดกาล. บทว่า โพนฺทึ ได้แก่
ร่างกาย.
บทว่า จุลฺลาสีติ แปลว่า 84. บทว่า มหากปฺปิโน ได้แก่
มหากัป. ในมหากัปป์นั้น อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า เมื่อเทวดา
ผู้วิเศษ นำหยาดน้ำด้วยปลายหญ้าคา ครั้ง ละหยาดทุก ๆ ร้อยปี
จากสระใหญ่ มีสระอโนดาดเป็นต้น ออกไป ด้วยความบากบั่นอันนี้
เมื่อสระนั้นแห้งไปถึง 7 ครั้ง ชื่อว่า เป็นมหากัปอันหนึ่ง จึง
กล่าวว่า 8,400,000 มหากัปนี้ เป็นประมาณแห่งสงสาร.
บทว่า เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา ความว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งที่เป็น
อันธพาล ทั้งที่เป็นบัณฑิตทั้งหมดนั้น. บทว่า สํสารํ เขปยิตฺวาน
ความว่า ยังสงสาร อันกำหนดด้วยกาล ตามที่กล่าวแล้วให้สิ้นไป
ด้วยอำนาจการเกิดร่ำไป. บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสเร ความว่า
จักกระทำความสิ้นสุดแห่งวัฏฏทุกข์. สงสารนั้น มีการกำหนดว่า

ทั้งบัณฑิต ก็ไม่สามารถจะชำระตนให้หมดจดในระหว่างได้ ถัด
จากนั้นถึงพวกชนพาล ก็เป็นไปไม่ได้เลย.
บทว่า มิตานิ สุขทุกฺขานิ โทเณหิ ปิฏเกหิ จ ความว่า ชื่อว่า
สุขทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นเหมือนนับด้วยทะนาน ด้วยตะกร้า
ได้แก่ ด้วยภาชนะเป็นเครื่องนับ และสุขทุกข์ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ
เกิดแต่การน้อมไปอย่างแน่นอน เป็นอันปริมาณได้โดยเฉพาะ เพราะ
ปริมาณได้โดยกำหนดตามกาลที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. พระชินเจ้า
ย่อมทราบเรื่องนี้นั้นทั้งหมด คือ ท่านดำรงอยู่ชินภูมิย่อมรู้ชัด
อย่างเดียว เพราะก้าวล่วงสงสารได้ ส่วนหมู่สัตว์นอกนั้น ผู้ลุ่มหลง
ย่อมวนเวียนอยู่ในสงสาร.
บทว่า เอวํทิฏฺฐิ ปุเร อาสึ ความว่า เมื่อก่อนข้าพระองค์
ได้เป็นนัตถิกทิฏฐิบุคคล ตามที่กล่าวแล้ว. บทว่า สมฺมูฬฺโห
โมหปารุโต
ได้แก่ เป็นคนหลงเพราะสัมโมหะ อันเป็นเหตุแห่ง
ทิฏฐิตามที่กล่าวแล้ว อธิบายว่า ก็คนถูกโมหะอันเกิดพร้อมด้วย
ทิฏฐินั้นครอบงำ คือเป็นดุจพืชแห่งหญ้าคาที่ปิดบังไว้.
นันทกเปรตครั้นแสดงบาปกรรมที่ตนทำด้วยอำนาจความ
เห็นชั่วอันเกิดขึ้นแก่ตนในกาลก่อนอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะ
แสดงผลแห่งบาปกรรมนั้นที่ตนจะต้องเสวยในอนาคต จึงกล่าวคำ
มีอาทิว่า ภายใน 6 เดือนเราจักตาย ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วสฺสานิ สตสหสฺสานิ ได้แก่
แสนปี, บาลีที่เหลือว่า อติกฺกมิตฺวา แปลว่า ล่วง บัณฑิตพึงนำมา

เชื่อมเข้า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า วสฺสานิ สตสหสฺสานิ นี้ เป็น
ปฐมาวิภัติ ใช้ในอรรถสัตตมีวิภัติ, อธิบายว่า เมื่อแสนปีล่วงไปแล้ว.
บทว่า โฆโส สุยฺยติ ตาวเท ความว่า ในขณะที่เวลามีประมาณ
เท่านี้ล่วงไปนั่นแหละ เราได้ยินเสียงในนรกนั้น อย่างนี้ว่า ดูก่อน
ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เวลาของพวกท่านผู้ไหม้อยู่ในนรกนี้ ล่วง
ไปประมาณหนึ่งแสนปี. บทว่า ลกฺโข เอโส มหาราช สตภาค-
วสฺสโกฎิโย
ความว่า ข้าแต่มหาราช 100 ส่วนโกฏิปี จัดเป็น
กำหนด คือเป็นเขตกำหนดอายุของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ไหม้อยู่ในนรก.
ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า 10 ทสกะ เป็น 100, 10 ร้อย เป็น
1,000 สิบพัน 10 หน เป็น 100,000, ร้อยแสน เป็น 1 โกฏิ,
แสนโกฏิปีด้วยอำนาจโกฏิเหล่านั้น จัดเป็นหนึ่งร้อยโกฏิปี. ก็ร้อย
โกฏิปีนั้นแล พึงทราบด้วยการคำนวณปีเฉพาะสัตว์นรก ไม่ใช่
สำหรับมนุษย์หรือเทวดา. แสนโกฏิปีเป็นอันมากเช่นนี้ เป็นอายุ
ของสัตว์นรกด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชนผู้ไหม้อยู่ในนรก
สิ้นแสนโกฏิปี ดังนี้. สัตว์ทั้งหลายผู้ไหม้อยู่ในนรกเช่นนี้ เพราะ
กรรมเช่นใด เพื่อจะแสดงบาปกรรมเช่นนั้นโดยคำลงท้าย ท่าน
จึงกล่าวว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นคนทุศีล และเป็นผู้กล่าวร้ายพระอริยะ
ดังนี้. บทว่า เวทิสฺสํ แปลว่า จักได้เสวยแล้ว.
นันทกเปรตครั้นแสดงผลแห่งความชั่วที่ตนจะพึงเสวย
ในอนาคตอย่างนี้แล้ว บัดนี้ ประสงค์จะทูลเรื่องที่พระราชาตรัส
ถามว่า ท่านมีอานุภาพอย่างนี้เพราะพรหมจรรย์อะไร ดังนี้แล้ว

จะให้พระราชานั้นดำรงอยู่ในสรณะและศีล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า
ข้าแต่มหารา ขอพระองค์โปรดทรงสดับ. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สีเลสุโปสเถ รตา ได้แก่ ยินดีแล้วในนิจศีลและอุโบสถศีล.
บทว่า อทา แปลว่า ได้ให้แล้ว. บทว่า ตํ ธมฺมํ ได้แก่ มรรคมี
องค์ 8 เละอมตบทนั้น.
พระราชาอันเปรตชักชวนให้สมาทานศีลและสรณะอย่างนี้
แล้ว มีพระทัยเลื่อมใส เบื้องต้นจึงระบุถึงอุปการะที่เปรตนั้น
กระทำแก่พระองค์ เมื่อจะตั้งอยู่ในสรณะเป็นต้น จึงกล่าวคาถา
3 คาถามีอาทิว่า ผู้ปรารถนาความเจริญ ดังนี้ เมื่อจะทรงประกาศ
ถึงความที่ทรงละทิฏฐิชั่วที่พระองค์ยึดถือในกาลก่อน จึงตรัส
คาถาว่า เราโปรย(แกลบในที่ลมแรง) เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอผุณามิ มหาวาเต ความว่า
ดูก่อนเทวดา เราจะโปรยคือขจัดทิฏฐิชั่วนั้น ณ ที่ลมคือธรรมเทศนา
ของท่าน เหมือนโปรยแกลบไปที่ลมแรงซึ่งกำลังพัดอยู่. บทว่า
นทิยา วา สีฆคามิยา อธิบายว่า หรือว่าเราจะลอยทิฏฐิชั่วเหมือน
ลอยหญ้า ไม้ ใบไม้ และสะเก็ด ลงในแม่น้ำใหญ่ที่มีกระแสอันเชี่ยว.
บทว่า วมามิ ปาปิกํ ทิฏฺฐึ ความว่า เราจะละทิ้งทิฏฐิชั่วที่อยู่ในใจ
ของเรา. พระราชากล่าวเหตุในข้อนั้นว่า ยินดีแล้วในพระศาสนา
ดังนี้. มีวาจาประกอบความว่า เพราะเหตุที่เรายินดี คือ ยินดียิ่ง
ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย อันนำอมตะ
มาโดยส่วนเดียว ฉะนั้น เราจะคายพิษคือทิฏฐินั้น.

คาถาสุดท้ายว่า อิทํ วตฺวาน ดังนี้ พระสังคีติกาจารย์
ทั้งหลายได้ตั้งไว้แล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาโมกฺโข ได้แก่
บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก. บทว่า รถมารุหิ ความว่า พระราชา
เสด็จขึ้นสู่ราชรถของพระองค์อันเป็นรถพระที่นั่งเสด็จ ครั้นเสด็จ
ขึ้นแล้วได้ถึงพระนครของพระองค์ในวันนั้นนั่นเอง ด้วยอานุภาพ
ของเทวดา แล้วเสด็จเข้าพระราชวัง. สมัยต่อมาท้าวเธอตรัสบอก
เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายจึงแจ้งเรื่องนั้นแก่พระเถระ
ทั้งหลาย. พระเถระทั้งหลายจึงยกขึ้นสู่สังคายนาในตติยสังคีติ.
จบ อรรถกถานันทกเปตวัตถุที่ 3

4. เรวดีเปติวัตถุ



[124] บุรุษคนใช้ของพระยายมราช จะจับ
นางเรวดีโยนลงไปในอุสสทนรก จึงได้กล่าวว่า
แน่ะแม่เรวดีผู้มีธรรมอันแสนจะชั่วช้า จงลุก
ขึ้น ฯลฯ

(พึงดูในเรื่องที่ 2 แห่งมหารถวรรคที่ 5 ในวิมานวัตถุ)
จบ เรวดีเปติวัตถุที่ 4

อรรถกถาเรวดีเปติวัตถุที่ 4



เรื่องนางเรวดีเปรตนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อุฏฺเฐหิ เรวเต สุปาปธมฺเม
ดังนี้. เพราะเหตุที่เรื่องนั้นไม่มีพิเศษไปกว่า เรวตีวิมานวัตถุ เพราะ
ฉะนั้น คำใดที่ควรกล่าวในอัตถุปปัตติเหตุ และในคาถานั้น คำนั้น
พึงทราบโดยนัยดังกล่าวในอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อปรมัตถทีปนี
นั่นแหละ. ก็เรื่องนี้แม้พระสังคีติกาจารย์จะยกขึ้นสู่สังคายนา
ในบาลีวิมานวัตถุ ด้วยอำนาจนันทิยเทพบุตร ก็พึงทราบว่ายกขึ้น
สู่สังคายนา แม้ในบาลีเปตวัตถุว่า เรวดีเปติวัตถุ ด้วยอำนาจ
คาถาที่เนื่องด้วยนางเรวดี.
จบ อรรถกถาเรวตีเปติวัตถุที่ 4